หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5 ปัจจัยเสี่ยงทำร้ายมดลูก

5 ปัจจัยเสี่ยงทำร้ายมดลูก
   ศาสตราจารย์นายแพทย์สมบูรณ์ คุณาธิคม เลขาธิการราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มาตอบคำถาม‘ปัญหาสุขภาพมดลูก’ อย่างกระจ่าง ...ดังนี้
   “สิ่งแรกๆ ที่ทำให้เราทราบว่าเกิดความผิดปกติกับมดลูกและระบบสืบพันธุ์ของสตรี คือ การเกิดเลือดออกผิดปกติ และประจำเดือนที่คลาดเคลื่อน หรือขาดหายไป ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากระบวนการทำงานของฮอร์โมนที่ผิดปกติ และมีต้นเหตุจากหลายประการ...”
  • ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติ “ในกรณีที่พยาธิสภาพของรังไข่ของบางคนอาจมีการทำงานที่ผิดปกติอยู่แล้ว เช่น การทำงานของต่อมไทรอยด์อาจมีปัญหา จึงส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนเพื่อมาควบคุมรังไข่ทำงานไม่เป็นไปตามปกติ ...นี่เป็นส่วนเดียวที่เราไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติได้ นอกเหนือจากนั้นเราต้องรู้จักดูแลตัวเองครับ”
  •  อ้วนเกิน-ผอมเกิน-เครียดเกิน “บางคนอ้วนมากเกินไป บางคนผอมเกินไป หรือ บางคนก็เคร่งแครียด และวิตกกังวลมากๆ ทั้งสามปัจจัยนี้อาจส่งผลให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของรังไข่ทำงานได้ไม่เป็นปกติไปจนถึงยับยั้งการตกไข่ คนกลุ่มนี้จึงมักมีปัญหาประจำเดือนคลาดเคลื่อนไปจนถึงขาดหาย หรือมีเลือดออกผิดปกติได้”
  • ยา และอาหารทำร้ายมดลูก “ทุกวันนี้มีคนที่รับยา(ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ) หรือสารอาหารบางประเภทที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนผสมอยู่เยอะๆ ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้เป็นอีกเรื่องที่คอยระวัง เพราะอาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งโพรงมดลูกได้”

    นอกจากนี้คุณหมอสมบูรณ์บอกว่า การป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจส่งผลร้ายทำให้เป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับมดลูกได้ สอดคล้องกับที่ดร.สาทิส อินทรกำแหง กูรูของชาวชีวจิตเคยอธิบายไว้ว่า การรับประทานอาหารหวาน หรือขนมหวานต่างๆ มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นซีสต์ที่มดลูกหรือรังไข่ และนำมาซึ่งการเป็นมะเร็งเกี่ยวกับมดลูกได้ต่อไป ดังนั้นหากคุณผู้หญิงคนไหนชื่นชอบการทานขนมหวาน หรือกำลังประสบปัญหาโรคเบาหวานอยู่ ต้องดูแลระมัดระวังตัวเองให้ดีนะคะ
  • เพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ “การเกิดการอักเสบติดเชื้อภายในมดลูก จะเริ่มต้นมาจากการติดเชื้อที่ช่องคลอดก่อน แล้วเข้ามาสู่มดลูก ท่อนำไข่ (ปีกมดลูก) และรังไข่ ซึ่งเรียกโดยรวมว่าเป็นอาการ ‘อุ้งเชิงกรานอักเสบ’ ซึ่งส่วนใหญ่อาจมีผลมาจากการมีเพศสัมพันธุ์ที่เสี่ยง คือ คู่สมรสมีคู่นอนหลายคนทำให้โอกาสที่จะได้รับเชื้อบางอย่างที่ทำให้มีการอักเสบนั้นเกิดได้สูง ยกเว้นเพียงในบางรายเท่านั้นที่เราพบว่ามีอาการไส้ติ่งอักเสบแล้วเรื้อรังมาอักเสบต่อยังปีกมดลูกได้”
‘ป้องกันและแก้ไข’ ให้มดลูกแข็งแรง
   “สำหรับคนที่ยังไม่เจ็บป่วย สุขภาพที่ดีของมดลูกเป็นผลโดยอ้อมจากการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์แข็งแรงครับ เพราะเมื่อสุขภาพเราดี กินอาหารที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายก็จะเป็นปกติ และส่งผลให้มดลูกและรังไข่มีการเปลี่ยนแปลงตามรอบเดือนได้อย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน” 
   “แต่สำหรับใครที่เกิดปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมา เราสามารถแก้ไขตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นให้กลับมาเป็นปกติได้ ยกตัวอย่างเช่น คนที่น้ำหนักมากเกินก็ควรลดน้ำหนักลงมา ซึ่งเพียงคุณลดได้สักร้อยละ 5-10 จากน้ำหนักตัวเดิม ประจำเดือนก็จะเริ่มมาเป็นปกติขึ้นแล้วครับ” 
   “ส่วนเรื่องยาและอาหารเสริมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนปริมาณมากก็ควรเลี่ยง และต้องดูแลสุขภาพให้ดี โดยเฉพาะหากเป็นโรคเบาหวานก็ต้องรักษาให้หายขาด และออกกำลังกายสม่ำเสมอ”
   ต่อไปนี้เป็น ‘ท่าบริหารช่องคลอดเพื่อสุขภาพมดลูก และป้องกันกระบังลมหย่อน’ ที่คุณหมอแนะนำค่ะ
   “สำหรับคุณผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร นอกจากบริหารเพื่อให้หน้าท้องและรูปร่างกลับมาสมส่วนเหมือนเดิมแล้ว การกายบริหารบริเวณช่องคลอดก็มีความสำคัญ เพราะสตรีที่คลอดลูกหลายครั้งมักมีอาการ ‘กระบังลมหย่อน’ หรือ ‘มดลูกหย่อน’ แต่แก้ไขได้ไม่ยาก คือ หลังจากแผลทำคลอดหายเจ็บแล้ว ให้ใช้‘วิธีขมิบก้นแล้วคลาย’ ซ้ำๆ ประมาณ 50-100 ครั้งต่อวัน สามารถทำได้แทบทุกเวลาแม้ทำกิจกรรมอื่นอยู่ การทำแบบนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่หย่อนอยู่บริเวณรอบๆ ผนังช่องคลอดแข็งแรงขึ้น”
   นอกจากนี้ เราขอแนะนำ ‘ท่าแถม’ ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของการรำกระบอง ที่ชาวชีวจิตทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีค่ะ ท่านี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของอัณฑะและรังไข่ได้เป็นอย่างดี
   เริ่มจากยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย หลังจากนั้นนำกระบองมาไว้ด้านหลังลำตัวบริเวณเอวโดยใช้สองแขนคล้องเอาไว้ นำฝ่ามือมาประสานกันหรือวางราบตรงหน้าท้อง หลังจากนั้นเขย่งปลายให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ และลดตัวลงนั่งโดยยังเขย่งปลายเท้าอยู่ ตามองตรง หลังตรงไม่ก้ม และขย่มตัวให้ก้นแตะส้นเท้า 3 ครั้ง และค่อยๆ ยืนขึ้น ทำแบบนี้ประมาณ 20-30 ครั้งต่อวันค่ะ
   นอกจากการออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของมดลูกแล้ว คุณหมอสมบูรณ์ยังแนะนำว่า การอยู่แบบ ‘คู่สามี-ภรรยาเดียว’ ก็ช่วยแก้ปัญหาเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ทุกประเภท เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ต้องปฏิบัติจริงจัง จะพูดแต่เพียงลมปากไม่ได้ค่ะ
ไขข้อคาใจ ‘เรื่องเล่า’ เกี่ยวกับมดลูก
  • ทำไมคนวัย 40 ปีขึ้นไปจึง ‘ตัดมดลูก’ กันเยอะขึ้น

    “เหตุผลที่คนวัย 40-45 ปีขึ้นไปผ่าตัดมดลูกกันเยอะ เป็นเพราะโรคที่เกี่ยวกับมดลูกนี้มักจะแสดงอาการเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปแล้วเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในวัยรุ่น หรือวัยสาวมักจะไม่ค่อยเป็นกัน ส่วนเหตุผลที่ผู้ป่วยแต่ละคนจะ ‘ตัด’ หรือ ‘ไม่ตัด’ มดลูกนั้น ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ครับ” 

    “เราพิจารณาโรคที่เกี่ยวกับมดลูกออกเป็น ‘โรคที่ไม่ร้ายแรง’ ก็ได้แก่ เนื้องอกมดลูก และมดลูกหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคพวกนี้ถือว่าไม่ร้ายแรง ส่วนใหญ่ทำการรักษาแต่ไม่ผ่าตัด ยกเว้นในกรณีที่บางโรคก่อความรำคาญหรือก่อปัญหาต่อสุขภาพมากๆ เช่น ในกรณีของมดลูกหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ หากทำให้ปวดท้องเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง เพราะมีพังผืดเยอะ รักษาด้วยยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น หรือในกรณีของเนื้องอกในมดลูก หากมีขนาดใหญ่มาก หรือทำให้มีประจำเดือนมากๆ หรือไปกดเบียดทำให้ปัสสาวะไม่สะดวก กรณีเหล่านี้อาจจะมีการพิจารณาให้ผ่าตัดมดลูกได้เช่นกัน” 

    “ต่อมาคือ ‘โรคที่ร้ายแรง’ ได้แก่ โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ อันนี้ก็ต้องมีกระบวนการรักษาตามแบบของโรคมะเร็งต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการผ่าตัดออกครับ” 
  • นั่งยองๆ เป็นอันตรายต่อมดลูกจริงหรือ
    “ก็เคยได้ยินเหมือนกันครับว่า หลายคนไม่กล้านั่งยองเพราะกลัวมดลูกหย่อน แต่จริงๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้มดลูกคนสตรีเกิดอาการ ‘หย่อน’ ได้นอกจากการคลอดบุตรแล้วก็ยังมีอีกหลายสาเหตุ เช่น คนที่ท้องผูกเรื้อรัง ไอเรื้อรัง หรือคนที่ยกของหนักเป็นประจำ (ไม่ว่าจะอยู่ในขณะนั่งยองหรือไม่) ก็จะทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มสูงขึ้นจนไปดันให้มดลูกเคลื่อนตัวลงมาได้ แต่การนั่งยองๆ เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการยกของหนักร่วมด้วยไม่มีผลทำให้มดลูกหย่อนได้ครับ” ...แต่คุณหมอบอกว่า ถ้าใครประสบปัญหานี้อยู่ไม่ต้องกังวล เคล็ดลับ ‘การบริหารช่องคลอด’ ที่แนะนำไปข้างต้นช่วยได้ค่ะ
  • ผ่าตัดคลอด VS. คลอดธรรมชาติ 

    - ความเชื่อแรก แผลจากการคลอดธรรมชาติหายเร็วกว่าแผลจากการผ่าตัดคลอด’ “จริงๆ แล้ว ‘ลักษณะแผล’ ของทั้งสองวิธีนี้ต่างกันครับ คือแผลของการผ่าตัดคลอดเป็นแผลที่หน้าท้องกับผนังมดลูก และมักมีขนาดยาวกว่าแผลจากการคลอดธรรมชาติซึ่งเป็นแผลจากการผ่าที่ช่องคลอดตำแหน่งเดียว จึงทำให้อาจหายช้ากว่าเท่านั้น แม้ว่าในอดีตแพทย์จะลงแผลผ่าตัดคลอดในแนวตรงทำให้แผลหายช้ากว่าบ้าง และต้องระวังมดลูกปริแตกได้ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป แต่ในปัจจุบันนี้แพทย์ส่วนใหญ่ลงแผลในแนวขวาง และลงในส่วนล่างของมดลูก แถมเทคนิคการผ่าตัดทุกวันนี้ก็ช่วยลดการเกิดพังผืดได้ ปัญหาเดิมๆ จึงไม่ค่อยมีแล้วครับ”

    - ความเชื่อต่อมา ‘คลอดธรรมชาติมดลูกเข้าอู่เร็วกว่าผ่าตัดคลอด’ “จริงๆ แล้วทั้งสองวิธีนี้ให้ผลไม่ต่างกันครับ เพราะโดยหลักการ การกลับคืนสู่ขนาดปกติของมดลูกก็ทำได้ในเวลาเท่ากัน เพียงแต่เมื่อผนังมดลูกเคยยืดตัวออกไปแล้วตอนคลอด ทำให้ไม่ว่าจะคลอดด้วยวิธีใดคุณแม่ก็จำเป็นต้องออกกำลังกาย และการบริหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเข้าที่อยู่ดี” 
  • สารพัดข้อคาใจเรื่อง ‘วัคซีนเอชพีวี’ ปัจจุบันนี้มีการค้นพบแล้วว่า ไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus:HPV) หรือไวรัสหูดหงอนไก่ ที่ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์นั้น บางสายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 16,18, 31, 33, 45, 52 และ 58) เป็นตัวการหลักทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก จึงได้มีการคิดค้นวัคซีนป้องกันไวรัสตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเกราะป้องกันโรคร้ายให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนต่อไป ทีนี้ก็มาถึงข้อความสงสัยมากมายของคุณสุภาพสตรี เรามีคำตอบจากคุณหมอมาฝากครบค่ะ

    - วัคซีนนี้ทำงานอย่างไร “วัคซีนชนิดนี้จะป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ตัวที่ 16 กับ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้บ่อยถึงประมาณร้อยละ 70 แต่จะได้ผลต้องฉีดกับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อ หรือสรุปให้ง่ายว่า ต้องเป็นคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนเท่านั้นครับ”

    - ใครฉีดได้บ้าง “อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า คนที่จะฉีดได้ต้องไม่เคยรับเชื้อไวรัสเอชพีวี มาก่อน จึงมีการกำหนดอายุของผู้ที่ควรฉีดอยู่ระหว่าง 9-26 ปี คือเป็นวัยที่คาดว่าจะยังไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริง หากคุณอายุ 34 ปี แต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และกำลังจะแต่งงาน คุณก็ยังสามารถฉีดได้ไม่มีปัญหา ในทางกลับกัน แม้คุณอายุอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด แต่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้วก็มีแนวโน้มที่ได้รับเชื้อไวรัสดังกล่าวแล้วด้วยเช่นกัน การฉีดวัคซีนจึงอาจไม่ช่วยอะไร และทำให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ ครับ”

    - ‘ฉีดวัคซีนแล้ว ไม่ป่วยชัวร์!’ ...จริงหรือ “แม้วัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี ป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้เพียงร้อยละ 70 เฉพาะที่เกิดจากไวรัสชนิดนี้เท่านั้น แต่ต้องอย่าลืมว่ายังเหลืออีกร้อยละ 30 ที่วัคซีนป้องกันไม่ได้ ดังนั้นสุภาพสตรีทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรืออายุ 35 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูก หรือที่เรียกว่า ‘การตรวจแป๊บสเมียร์’ เป็นประจำทุกปี ไม่ว่าจะเคยรับวัคซีนมาแล้วหรือไม่ก็ตาม เพื่อว่าหากมีเซลล์ผิดปกติที่มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งปากมดลูกเกิดขึ้น จะได้รักษาแต่เนิ่นๆ ครับ”

    - มีลูกแล้ว มีเพศสัมพันธ์แล้วแต่ยังอยากฉีด จะทำได้ไหม “จริงๆ แล้วหากให้ตอบตามหลักการที่ถูกต้อง หากต้องการฉีดจริงๆ ก็ควรไปตรวจด้วยเทคนิคพีซีอาร์ (Polymerase Chain Reaction :PCR) เสียก่อนว่า คุณเคยติดเชื้อไวรัสเอชพีวีตัวที่ 16 และ 18 แล้วหรือยัง หากติดแล้ว ฉีดไปก็อาจไม่มีผลอะไรครับ”
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=1&articleId=1774

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้กับ การดูแล"น้องหนู"ของคุณสุภาพสตรี

      หากจะกล่าวถึงสุขภาวะของท่านสุภาพสตรี สิ่งสำคัญที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้นั้นคือ สิ่งที่ติดต่อมาตั้งแต่กำเนิดและมีค่ามากๆนั้นคือ "น้องหนู" นั้นเอง ผมได้รวบรวมข้อมูลดีๆจากหลายๆเว็บไซต์มาแบ่งปันเพื่อสุขภาวะสุภาพสตรีทุกท่านครับ 
   - ขนอ่อนที่อยู่ภายนอกของน้องหนูมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้กลิ่นต่างๆที่อับชื้นออกมาสยายเป็นที่น่ารังเกียจกับภายนอด ฉะนั้นคุณสุภาพสตรีไม่ควรถอนทิ้งหรือโกนเล่น
  - บริเวณซอกหลืบหรือรอยพับของน้องหนูควรจะทำความสะอาดชะล้างด้วยน้ำอุ่นหรือถ้าสกปรกมากควรใช้น้ำยาอนามัยสูตรค่าความเป็นกรด-เบสที่เหมาะสมประมาณไม่เกิน 5.5และใช้ผ้าฝ้าย(ยิ่งถ้าเป็นผ้าฝ้ายแบบ 100% นิ่มๆ ผ่านการตากแดดฆ่าเชื้อมาทุกวัน น้องหนูยิ่งช๊อบชอบ)
  - ช่วงมีรอบเดือนอย่างปล่อยให้น้องหนูอยู่แบบเฉอะๆนานๆ ควรขยันเปลี่ยนผ้านอนามัย 
  - ในประเทศไทยถือว่าเป็นเมืืองร้อนชื้น ฉะนั้นท่านสุภาพสตรีคนไทยควรเลือกกางเกงชั่นในแบบบาง อากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อป้องกันการอับชื้น
  - ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด ไม่ว่าจะใช้น้ำยาล้างหรือยาฆ่าเชื้อเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

ดูแลน้องหนูดีๆก่อนที่จะสายเกินไปนะครับ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ตกขาว...อย่าตกใจ รู้ทันตกข่าว

       อาการตกขาวเป็นอาการที่พบได้บ่อยในสุภาพสตรีแต่หากท่านสุภาพสตรีเผชิญภาวะตกขาวด้ยความเคยชินอาจจะทำให้พลาดบางอย่างไปจนอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยากในภายภาคหน้าฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับสภาวะตกขาวให้มากขึ้นกันเถอะครับ
     "ตกขาว" เรียกได้หลายชื่อ บางครั้งเรียกว่า "ระดูขาว" บางคนเรียกสะหรูว่า "มุตกิต" ความหมายของคำว่า ตกขาว คือ สิ่งที่ถูกขับออกทางช่องคลอดซึ่งอาจไม่ใช่เลือกมีสีขาว หรือ เหลืองปนเขียว หรืออาจเป็นสีน้ำตาล ซึ่งสีและลักษณะของอาการตกขาวจะสามารถบกบอกภาวะความผิดปกติของช่องคลอดได้ เรามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกันต่อ
    ตกขาวในภาวะปกติมักจะพบช่วงเวลาใกล้ตกไข่ประมาณวันที่ 13-14 ของการมีระดู 2-3 วัน การกระตุ้นหรือเล้าโลมทางเพศอาจไหลออกมาเป็นเมือกไส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น โดยภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากนี้ ท่านสุภาพสตรีสามารถเช็คได้ด้วยตัวเองดังต่อไปนี้
- ตกขาวมีเมือกไส สีขาวขุ่น กลิ่นเหมือนปลาเน่า วินิจฉัยเบื้องต้น ว่าอาจติดเชื้อแบคทีเรีย
- ตกขาวเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นผิดปกติมีอาการคันร่วมด้วย วินิจฉัยเบื้องต้นว่า อาจมีพยาธิในช่องคลอด
- ตกขาวแบบมีสีขาวเกาะกันเป็นก้อนคล้ายแป้งเปียก มีกลิ่นอับ วินิจฉัยเบื้องต้นว่าอาจจะมีการติดเชื้อราในช่องคลอด
    สาเหตุของอาการตกขาวที่ผิดปกติพบว่าร้อยละ 30-35 เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งความเสี่ยงที่พอจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ คือ การใช้กระดาษชำระหรือผ้าที่ไม่ชะอาดเช็ดอวัยวะเพศ หรือรูปแบบการเช็คกระดาษทิชชู่จากหลังไปหน้า หรือ การใช้สายฉีดชำระที่ไม่สะอาด และมีเพียงร้อยละ 10 ที่เกิดจากเชื้อพยาธิ คุณสุภาพสตรีควรใส่ใจและดูแลในเรื่องดังกล่าวให้รัดกุม เพราะโรคร้ายแรบางงอย่าง เช่น มะเร็งปากมดลูก อาจนำมาด้วยอาการเพียงตกขาวหรือมีเลือดออกกระปิดกระปอยเท่านั้น
   สำหรับวัยกับการเกิดสภาวะตกขาวที่ผิดปกติมีความเกี่ยวข้องกันดังนี้
   - วัยเด็ก เกิดจากความสกปรก สุขอนามัยไม่ดี หรือเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมที่เด็กยัดเข้าไปในช่องคลอด
  - วัยเจริญพันธุ์ มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
 - วัยหมดระดู มักเกิดจากฮอร์โมน

    การดูแลรักษาสภาวะตกขาวที่ผิดปกติ
- การใช้ยา มีแบบยาเหน็บช่องคลอดและยาฆ่าเชื้อในช่องคลอดซึ่งควรปรึกษาเภสัชก่อนซื้อมารับประทาน
- การรักษาป้องกันด้วยตนเอง วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในระยะยาว ควรดูแลความสะอาดภายในโดยเฉพาะจุดซ่อนเร้นอย่าให้อับชื้น และการออกกำลังกายดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงเสมอ และไม่ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
   การป้องกันย่อมดีกว่าเป็นแล้วรักษาดังนั้นขอท่านสุภาพสตรีทุกท่านมีสุขภาพดี นำสู่ความสุขที่ยั่งยืนยาวนานต่อไป

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
-www.variety.teenee.com/foodforbrain/966.html
-www.women.thaiza.com/ตกขาวคืออะไร/71895
-www.manager.co.th

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

รีแพร์ รีเทริ์นความสุขสู่ครอบครัว จริงหรือ?

" ใหม่ๆน้ำต้มผักยังว่าหวาน พอนานความหย่อนยานกลับสร้างปัญหา" หลายท่านปฏิเสธข้อความนี้ได้ยาก เพราะอาจกำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ ส่งผลให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นปัญหาครอบครัวต่อมา
    ความหย่อนยานของช่องคลอดของคุณสุภาพสตรีมักเกินจากการคลอดบุตรตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป หรือเกินจากกรณีอื่นๆ เช่น การยกของหนัก ภาวะท้องผูกเรื้อรัง การไอเป็นประจำ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เกิดภาวะการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ปัสสาวะเล็ดซึ่งมักเกิดกับท่านสุภาพสตรีสูงอายุ สุภาพสตรีบางท่านพบว่ามีช่องคลอดกว้างกว่าปกติเนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ส่งผลให้กล้ามเนื้อช่องคลอดไม่สามารถยืดหยุ่นสร้างประจุไฟฟ้าสู่สมองให้รู้สึกถึงจุดสุดยอดได้ เป็นผลต่อการลดทอนความสุขของครอบครัว และการหย่อนยานของปากมดลูกอาจทำให้เกิดแผลปากมดลูกเรื้อรังและอาจเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้อีกด้วย
    ทางแก้ที่มักพูดถึงกัน คือ เรื่องของ "การทำสาว" หรือ การทำ "รีแพร์" การทำรีแพร์เป็นการเย็บช่องคลอดที่หย่อนให้กระชับขึ้น โดยผ่าตัดเอาเนื้อส่วนเกินออก ตกแต่งเย็บซ่อมแซมกล้ามเนื้อและพนังช่องคอลดใหม่ให้ดูสวยงาม ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของครอบครัวดั่งเช่น ข้อมูล จากรายการสุขภาพดี@nation นพ.สมชาย จันทร์เจริญ สูตินารีแพทย์ประจำรักษ์นรีคลีนิกได้กล่าวว่า " การทำรีแพร์เป็นส่วนหนึ่งของการกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัว"
   การทำรีแพร์แบ่งออกเป็น
  1.การผ่าตัดรีแพร์เล็ก ขั้นตอนไม่ยุ่งยากใช้เวลาประมาณ 1 ชม. คนไข้สามารถกลับบ้านพักผ่อนได้ตามปกติ
  2. การผ่าตัดรีแพร์ใหญ่ รักษาอาการปัสสาวะเล็ด มดลูกหย่อนยาน,กระบังลมหย่อนยาน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงและนอนพัก 3-4 วัน
   สิ่งสำคัญหลังจากการผ่าตัดรีแพร์คือการดูแลรักษาความสะอาดของแผลผ่าตัดไม่ให้อักเสบและงดมีเพศสัมพันธ์นานถึง 45 วัน ซึ่งการผ่าตัดรีแพร์จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตั้งแต่ 7,000 - 30,000 บาท นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
- www.women.kapook.com/view1426.html
- www.tokaichinic.com
- www.naraveeclinic.com
- www.women.sanook.com/79650/รีแพร์-amp-ปัสสาวะเล็ด
- รายการสุขภาพดี@nation
- www.pantipmarket.com/items/11161524

   

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

สตรีไทยใส่ใจสุขภาพ. ห่างไกลโรคภัย

บทบาทสตรีในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ระดับประเทศถึงระดับโลกให้ความสนใจ เมื่อไม่ดูแค่ปัจจัยทางกายภาพทางร่างกาย เรามองดูเรื่องของความคิด ความรู้ ความสามารถ แทบจะไม่ต่างกับผู้ชาย. สังเกตจากผู้นำระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่นหลายท่านจะเป็นสตรีกันหลายท่าน และสตรีเป็นขุมพลังแหล่งใหญ่ที่จะขับเคลื่อนให้โลกนี้หมุนไปไม่ต่างกับผู้ชาย ดังนั้นการส่งเสริมในส่วนบทบาทของสตรีจึงถือเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก
ทรัพยากรบุคคลอันทรงคุณค่าอย่างสุภาพสตรีควรจะมีการใส่ใจเรื่องสุขภาพซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากสุขภาพทรุดโทรมย่อมจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมด้านต่างๆมีผลให้การพัฒนาประเทศต่างๆมีปัญหา ฉะนั้นคณะผู้จัดทำจึงจัดทำblogนี้เพื่อส่งเสริมบทบาทและสุขภาพสตรีอันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพสตรีให้ดีขึ้นต่อไป